สวัสดีค่า
วันนี้จะมาเล่าต่อจาก New York Trip Day 1 ที่เขียนให้อ่านกันไปแล้วนะคะ
วันนี้เลยมาจัดวันที่ 2 ต่อกันเลยค่ะ อย่างที่บอกไปในตอนแรกคือ การไปเที่ยวของออน
คือการที่ได้ไปที่ที่ๆอยากไป พักในๆที่ๆสะดวก กินของดีๆที่อยากกิน ดังนั้นการไปทัวร์ตัดไป
ได้เลยสำหรับออน ออนไม่ชอบไปกับทัวร์ เพราะรู้สึกว่าได้ไปหลายที่จริง ประหยัดจริงๆ
แต่จะมีซักกี่ที่ๆเราอยากไปจริงๆ และเราจะได้ใช้เวลาอยู่ในที่ๆนั้นซักกี่นาที บวกกับการ
ที่เป็นคนกินยาก และถือว่าการได้กินอาหารดีๆที่อยากกินคือความสุข ดังนั้นขอบายกับทัวร์ค่ะ
หลังจากเมื่อวานทำให้ได้รู้ว่า การมาเที่ยวเองที่ NYC นั้น รองเท้าคือสิ่งที่สำคัญมาก
ลืมไปได้เลยรองเท้าส้นสูงสวยๆ เพราะว่าไม่ได้มีรถนั่ง ต้องเดินขึ้นลง metro โน่นนี่เอง
เลือกรองเท้าให้ใส่และเดินสบายนะคะ ถ้ารองเท้ากัดนี่หมดสนุกเลย
มาเริ่มกันเลย สำหรับวันที่ 2
นั่ง metro จากโรงแรมที่ Times Square ไปกิน Lombardi’s Pizza
ร้านพิซซ่าชื่อดัง ที่ว่ากันว่าเป็นพิซซ่าเจ้าของในอเมริกาทีเดียว เพราะเปิดให้บริการ
มากว่า 100 ปีแล้ว ร้านอยู่ตรง Spring Street นั่ง metro มา แล้วเดินมาประมาณ 1 บล็อก
ก็จะถึง ออนไปตอนประมาณ 11 โมงเช้า คิวเลยยังไม่มี ไปถึงก็ได้โต๊ะเลย
ภายในร้านตกแต่งแบบนี้ ดูคลาสสิคมา ร้านจะเล็กๆมีด้านหน้า กับทะลุมาด้านหลัง
ออนได้นั่งในส่วนที่ทะลุมาด้านหลัง
หลังจากที่อ่านทั้ง review ไทยและเทศมาแล้ว สรุปว่า Margarita Pizza ของเค้าขึ้นชื่อที่สุด
แต่ส่วนตัวชอบกิน Pepperoni ด้วย เลยสั่งเพิ่มเข้ามา บางคนจะงงว่าทำไม Pepperoni ที่นี่มันดู
ไม่เหมือนที่เราเคยเห็น ทำไมมันดูเล็กๆงอๆ เพราะว่า Pepperoni แบบนี้คือของแท้ ที่หั่นกันสดๆค่ะ
ไม่ใช่แบบแพ๊คขายจามซุปเปอร์ ส่วนซอสของเค้าจะเบาๆ แต่รสชาติเข้มข้นมาก ไม่ได้หนักเหมือน
ซอสทั่วๆไป พี่โต้กินแล้วถึงขั้นสำลักในความอร่อยของน้ำซอส
ถาดที่สั่งกันมาคือถาดกลาง เพราะกินกัน 2 คน แต่ถ้าใครกินเยอะ แนะนำถาดใหญ่ค่ะ
รับรองว่าอร่อย ไม่ผิดหวังแน่นอน
ระหว่างรอตังทอน
ลืมบอกว่าที่นี่ Cash Only นะคะ ไม่รับบัตร เด็ดมากกกกก ชอบ NYC
ตรงที่ร้านแพงๆ รับแต่เงินสด ไม่รับบัตร เพราะใน California ทุกร้านรับบัตรหมด
แม้ว่าจะสั่งแค่ $1 ก็ตาม มาที่นี่ออนใช้แต่เงินสดหมดเลย แลกเงินสดมาเลย
เสร็จแล้วเลยออกมาถ่ายรูปหน้าร้านซะหน่อย
จะบอกว่าโชคดีมาก เพราะพอออกมาเที่ยงกว่าๆ มีคิวรอยาว 10 กว่าคน ทะลักออกมา
หน้าร้าน
เก็บภาพบรรยากาศสวยๆแถวนั้นมาฝากกันเล็กน้อย
ออนชอบตึกแบบ New York มากกกกก มันรู้สึกสวย มันรู้สึกมีมนต์ขลัง ไม่เหมือนตึกใน LA
ดูยังไงก็น่าเบื่อ ไม่มีอะไรเลย แถมที่นี่มี Public Transportation ด้วย สะดวกและง่ายมาก
ไม่ใช่ต้องขับรถตลอด ถ้าไม่มีรถแล้วชีวิตพังเหมือนใน California
กินเสร็จแล้ว ก็เดินย่อยซะหน่อย เดี๋ยวจะกลายเป็นหมู และกำลังจะไปขึ้น Ferry
เพื่อไป Staten Island ดู Statue of Liberty หรือเทพีเสรีภาพ ที่เราเห็นกันบ่อยๆในหนังนั่นเอง
เสร็จแล้วก็นั่ง Metro มาลงที่ Staten Island (Whitehall Terminal in Manhattan)
จะบอกว่าการนั่ง ferry ข้ามไปอีกเกาะ และได้เห็นวิวเทพีเสรีภาพที่นี่ฟรีด้วยนะคะ ไม่ต้องเสียเงิน
ขึ้นมาบน ferry แล้ว เรือ ferry จะมี 2 ชั้น ข้างในมีที่นั่งเป็นร้อยๆที่
และสะอาดมากแบบในรูปเลยค่ะ มีหน้าต่างให้เปิดออกไปมองเห็นวิวด้วย
เห็นแล้ว Statue of Liberty นั่นเอง แต่…..ทำไมของจริงเล็กจัง
เห็นในหนังดูใหญ่อลังการ เหมือนสูงเท่าตึกใบหยก ของจริงนี่ไม่ได้ใหญ่อย่างที่คิดเลย
แต่ไหนๆก็ได้เห็นละ แถมฟรีด้วย โอเคเลย
มาถึง Staten Island แล้ว เกาะนี้ที่เคยถ่ายในเรื่อง How to lose a guy in 10 days
ไม่มีอะไรมาก ส่วนมากจะเป็นแนวธรรมชาติ เลยมานั่งพัก เดินเล่นนิดหน่อย
ระหว่างที่กำลัง enjoy taking selfie พี่โต้ก็นั่งหาทางไปสถานที่ต่อไปที่แพลนไว้ในวันนี้
นั่นก็คือ East Village นั่นเอง แต่คราวนี้จะขึ้นรถบัสไป เพราะอยากดูวิว และเปลี่ยนบรรยากาศ
ระหว่างนั่งรถบัส ดันเห็นถนน Wall Street ที่พี่โต้อยากมามากๆ และไม่คิดว่าจะได้มา
แต่สุดท้ายมาด้วยความบังเอิญ เลยโดดลงจากรถบัส มาถ่ายรูปแชะๆ ซะหน่อย พี่โต้อยาก
มาตั้งแต่ตอนดู The Wolf of Wall Street แล้ว ส่วนของก็ชอบ Leonardo เลยขอจัดด้วย
มาแล้วก็ต้องถ่าย
ตึกแถวนี้จะเป็นตึกแนว office building พวกบริษัทใหญ่ๆก็อยู่แถวนี้กันเยอะเลย
เสร็จแล้วก็จะขึ้นรถบัสไปที่ East Village ซึ่งออนมี 7 Days Unlimited Metro Pass
อยู่แล้ว สามารถใช้ขึ้นรถบัสฟรีได้ด้วย เพียงแค่มาที่ตู้นี้ แล้วก็เสียบ Metro Pass ของเรา
เข้าไป ก็จะได้คล้ายๆใบเสร็จหรือตั๋วรถบัสใบเล็กๆมา แล้วเราก็เอาใบนี้ยื่นเวลาขึ้นรถบัส
ชอบนะ ที่ซื้อบัตร Metro แล้วใช้ได้กับรถบัสด้วย มันคุ้มมาก
นั่งรถมาเรื่อยๆจะเริ่มเห็น China Town และลงจากรถ เดินไปตามบล็อกไม่นาน ก็เจอร้าน
Takahachi ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่ออนลองเสิร์ชดูรีวิวจาก Yelp และเห็นว่า ratings ดีเลย ราคาไม่แพง
และคุณภาพโอเค ออนเลือกนั่งตรงบาร์ เพราะออนชอบที่จะได้เห็นเชฟทำซูชิ ดูโน่นนี่ และทำให้อยาก
สั่งเพิ่มด้วย ที่สำคัญคนเสิร์ฟเป็นคนไทยด้วย พี่เค้าทำงานวันสุดท้ายที่ร้าน และกำลังจะกลับไทยพอดี
เลยได้คุยกันนิดหน่อยตามประสาคนไทย
คำแรกที่สั่งมาแล้วววววว
Scallop+Uni+Ikura มันอร่อยนะะะะ ปกติไม่กิน Scallop เท่าไหร่ แต่กินด้วยกันแล้วโอเคเลย
จานใหญ่มาแล้วววว
สั่ง Uni, Unagi, Salmon, Hamachi และอีกหลายอย่างมา
จริงๆมีโซบะ และ rolls ด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา
ปิดท้ายด้วยคำนี้คือ Seared salmon toro นั่นเอง
เวลากิน salmon toro ออนจะชอบกินแบบเผาไฟอ่อนๆ หรือเรียกว่า seared เพราะมัน
จะอร่อยกว่า หอมกว่า ได้รสชาติกว่าการกินแบบดิบๆ
เสร็จแล้วก็เดินเลาะมาเรื่อยๆ เพื่อหา Max Brenner ร้านช็อกโกแลตที่ออนชอบกินมากก
ตั้งแต่ตอนอยู่ Australia มันเป็นอะไรที่อร่อยมากกก และตอนลองเสิร์ชหา เห็นว่ามีแถวนี้
เลยจัดซะหน่อย
เดินมาจากตรง East Village ไม่ไกลมาก ถือว่าได้ย่อยอาหารคาว ก่อนมาจัดของหวาน
ก็มาถึงแล้วววว แต่ช็อกมาก เพราะที่นี่ใหญ่อลังการ ตอนออนกินที่ Australia เป็นร้านเล็กๆ
มีแต่ของหวานอย่างเดียว แถมเมนูก็ไม่เยอะด้วย
เข้ามาแทบช็อก ร้านใหญ่มาก แถมมีอาหารคาวที่ดูน่ากินมากอีกด้วย กรี๊ดดดด
รู้งี้แพลนมากินที่นี่ด้วยดีกว่า .. ออนสั่ง White hot chocolate topped with melted marshmallow
มันอร่อย มันได้อารมณ์ช็อกโกแลตสุดๆ ออนชอบ White chocolate + marshmallow อยู่แล้ว
คืองานนี้ตายยยยยยย
ต่อด้วยจานนี้ เป็น Banana Tempura จิ้มกับ Chocolate & Toffee sauce
จานนี้เฉยๆ เพราะกล้วยข้างในเละเกินไป แต่ช็อกโกแลตซอส เข้มข้นเหมือนเดิม
จะกินละน้าาา
ปิดท้ายด้วยจานนี้ คือถ้าไม่สั่งนี่คงโมโหตัวเองเลย
เพราะมันอร่อยมากกกกกกกก มีถั่ว มีช็อกโกแลตเม็ด ช็อกโกแลตซอสให้จิ้มกับ
ไอศกรีมแท่งวานิลลา
มันอร่อย มันดีมาก มันเข้มข้นมาก ชีวิตดี กรี๊ดดดดด
เต็มคำแบบเน้นๆเลย
เสร็จแล้วก็นั่ง metro กลับไปที่โรงแรมที่ Times Square พักผ่อนประมาณ 1-2 ชั่วโมง
เพราะกำลังจะนัดเจอรุ่นพี่ ที่มาอยู่ที่นี่ ทำงานเป็น Make-up Artist ไหนๆจะเจอ Make-up Artist
ทั้งที เดี๋ยวหน้าจะไม่แซ่บ สู้พี่เค้าไม่ได้ เลยขอเปลี่ยนลุคด้วยการเปลี่ยนสีลิปสติกซะหน่อย
จัดไปเลยกับลิปสติกสีม่วง เรียกว่าเดินเข้าร้านไหน ทุกคนทักว่าซื้อลิปจากไหน ของอะไร
พี่แอนมาหาที่แถวโรงแรมเลย เพราะออฟฟิซพี่แอนก็ใกล้ๆ Times Square
เลยมาเดินช็อปปิ้งที่ Forever21 กันเล็กน้อย จนกระทั่งพี่แอนบอกว่า พี่มีบัตร
M.A.C Pro ลดได้ 40% เท่านั้น รีบจ่ายเงิน และตรงไปหา M.A.C ในทันที
และนี่คือสิ่งที่ได้มาทั้งหมด 5 ชิ้น ในราคา 2,000 บาท
ซึ่งปกติชิ้นเดียวก้ 1000 กว่าบาทได้แล้ว มันกรี๊ดมากกกก ปกติ M.A.C ที่เมกาถูกกว่าไทย
20%-30% อยู่แล้ว แถมมาได้บัตรลดอีก 40% เรียกว่าลดกันไปเกือบ 70% เลย มือสั่นไปหมด
คิดไม่ออกว่าควรซื้ออะไรบ้าง เพราะก่อนหน้านี้ทยอยซื้อมาเรื่อยๆ พอได้ลดราคาดันคิดไม่ออก
ซื้อเสร็จกลับมาถึงโรงแรมนึกได้ว่าควรซื้อดินสอเขียนคิ้วอีก เพราะใช้มาจนตอนนี้เหลือแท่งสั้น
ประมาณ 2 นิ้วได้ โอยยยยยย หญิงคลั่งขาดสติจนคิดอะไรไม่ออก
สำหรับวันที่ 2 ก็จบไปเท่านี้นะคะ
เดี๋ยวจะมาต่อวันที่ 3 ให้อ่านกันค่า อย่าลืมติดตามนะคะ
ขอบคุณค่า